
โคล้ด มาเกเลเล่ แซงด้า (Claude Makélelé Sinda) หรือ โคล้ด มาเกเลเล่ อดีตมิดฟิลด์สัญชาติฝรั่งเศส และ ผู้สร้างตำนาน “กองกลางตัวรับผู้ปิดทองหลังพระ” เนื่องจากเขาเป็นนักเตะที่เน้นเล่นแต่ในเกมรับ สกัดบอลจากคู่แข่งที่พยายามเล่นเกมรุก และตัดบอลส่งต่อให้เพื่อนร่วมทีมขึ้นบุกไปทำประตู โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้ขึ้นทำประตูเลย และมักจะโดนมองข้ามว่า ประตูที่เกิดขึ้นในสนามนั้น เขาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จ และ เขาคือนักเตะคนสำคัญที่ทำให้ทีมไม่เสียประตู เพราะเหตุนี้จึงเรียกได้ว่า เขาคือ นักเตะผู้ปิดทองหลังพระ อย่างแท้จริง ซึ่ง มาเกเลเล่ ได้กลายเป็นต้นแบบของกองกลางที่เน้นเล่นเกมรับอย่างเต็มรูปแบบในปัจจุบัน จนบางคนเรียกการเล่นสไตล์นี้ว่า Makelele Role
โคล้ด มาเกเลเล่ เขาเกิดเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ในปี 1973 ปัจจุบันอายุ 49 ปี เกิดที่เมืองกินชาซา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ซึ่งเขาและครอบครัวได้อพยพมายังชานเมืองของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1977 ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ขวบ มาเกเลเล่ ได้รับอิทธิพลการเล่นฟุตบอลมาจากพ่อของเขา ซึ่ง อังเดร โจเซฟ มาเกเลเล่ (André-Joseph Makélélé) พ่อของเขา เคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติคองโก และเคยค้าแข้งในระดับดิวิชั่น 3 ของลีก เบลเยียม อีกด้วย

เส้นทางลูกหนังในทีมเยาวชนของ มาเกเลเล่
เส้นทางลูกหนังของ มาเกเลเล่ เริ่มต้นในปี 1989 ในขณะนั้นเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดกับทีมเยาวชนของ สโมสรสปอร์ติ้งเมลัน – ดัมมารี 77 (Sporting Melun-Dammarie 77) ซึ่งในภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น สโมสรเอฟซี เมลัน (FC Melun) เขาฝึกฝนทักษะอยู่ที่นั่นได้เพียง 1 ปี
ก่อนที่ในปี 1990 เขาจะย้ายไปยังทีมเยาวชนของ สโมสรเบรสต์ อาร์มัวรีค (Brest Armorique) หรือ สโมสรสต๊าด เบรสตัวส์ 29 (Stade Brestois 29) ในปัจจุบัน ซึ่งเขาต้องใช้เวลาในการปรับตัวอย่างมาก อีกทั้งยังได้ฝึกฝนทักษะการเล่นฟุตบอลอย่างหนักที่สโมสรแห่งนี้ เป็นเวลา 1 ปี ด้วยกัน
เส้นทางลูกหนังในสโมสรฟุตบอลอาชีพของ มาเกเลเล่
สโมสรเอฟซี นองต์ส (FC Nantes)
มาเกเลเล่ ได้เข้าไปเป็นนักเตะอาชีพของ สโมสรเอฟซี นองต์ส สโมสรที่อยู่ในระดับ ลีกเอิง ในเดือนธันวาคม ปี 1991 ในขณะที่เขาอายุได้ 18 ปี เขาได้เริ่มลงเล่นให้กับสโมสรเป็นครั้งแรกในการแข่งขัน ลีกเอิง ฤดูกาล 1992-93 โดยเป็นนักเตะคนสำคัญที่พาทีมคว้า แชมป์ลีกเอิง ได้ในฤดูกาล 1994-95 และในฤดูกาลถัดไป เขาช่วยให้ทีมสามารถเข้าสู่รอบรองชนะเลิศในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อีกด้วย มาเกเลเล่ ลงสนามให้กับ นองต์ส ถึง 169 นัด และทำประตูได้ 9 ประตู โดยเขาเป็นนักเตะอยู่ในสโมสรแห่งนี้นานถึง 6 ปีด้วยกัน

สโมสรโอลิมปิก เดอ มาร์แซย์ (Olympique de Marseille)
ในปี 1997 เขาได้ย้ายไปค้าแข้งให้กับ สโมสรโอลิมปิก เดอ มาร์แซย์ เขาเป็นนักเตะให้กับสโมสรแห่ง เมืองมาร์แซย์ ได้เพียงแค่ 1 ฤดูกาลเท่านั้น โดยลงสนามไปทั้งหมด 32 นัด และทำประตูไปได้ 2 ประตู

สโมสรเซลต้า บีโก้ (Celta Vigo)
ต่อมาในปี 1998 มาเกเลเล่ ได้ย้ายไปยัง สโมสรเซลต้า บีโก้ ที่อยู่ในระดับลาลิกาลีก ของสเปน ซึ่งเป็นการย้ายไปค้าแข้งนอก ลีกฝรั่งเศส เป็นครั้งแรกของเขา ซึ่งในช่วงแรกเขาต้องใช้เวลาในการปรับตัวอย่างมาก แต่เมื่อปรับตัวได้แล้ว เขาก็ระเบิดฟอร์มในแดนรับได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเขาค้าแข้งในสโมสรแห่งนี้เป็นเวลา 2 ปี ลงทำการแข่งขันไป 70 นัด และทำประตูไปได้เพียง 3 ประตู ซึ่งจะเห็นได้ว่า มาเกเลเล่ เขาเป็นนักเตะที่มีสถิติการทำประตูน้อย ซึ่งเขาเล่นเกมแบบไม่เน้นการทำประตูด้วยตัวเอง

สโมสรเรอัล มาดริด (Real Madrid)
ในปี 2000 มาเกเลเล่ ได้ย้ายไปยังสโมสรเรอัล มาดริด ซึ่งเป็นสโมสรใน ลาลิกาลีก และเป็นสโมสรชั้นนำของ สเปน ด้วยค่าตัว 14 ล้านยูโร หรือราวๆ 500 ล้านบาท เขาประสบความสำเร็จกับ ทัพราชันชุดขาว อย่างมาก โดยเขาเป็นส่วนสำคัญในแนวรับ ที่พาทีมได้รับรางวัลอย่างมากมาย และจากการที่เขามีสไตล์การเล่นที่เน้นในเกมรับ สกัดเกมรุกของคู่แข่งก่อนถึงเขตโทษ แล้วตัดบอลส่งให้เพื่อนร่วมทีมขึ้นไปทำประตู โดยเขาระวังให้ในแนวกลางหลัง และแทบจะไม่มีคู่แข่งฝ่าแนวของเขาไปได้เลย แต่ทว่าทำให้เขาไม่ค่อยมีผลงานในการทำประตู

ประกอบกับ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรในสมัยนั้น นิยมกว้านซื้อนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์ชั้นนำมาประดับสโมสร ซึ่งเรียกทีมในช่วงนั้นว่า ยุคกาลาติกอส ซึ่งทำให้ทีมมีรายจ่ายที่มากขึ้น อีกทั้ง เปเรซ ยังนิยมให้ทีมเล่นเน้นแต่เกมรุก เข้าจึงไม่ปลื้ม และไม่ได้สนับสนุนนักเตะอย่าง มาเกเลเล่ มากนัก โดยไม่ต่อสัญญา ไม่เพิ่มค่าเหนื่อย และวิจารณ์การเล่นแบบ มาเกเลเล่ ออกสื่ออย่างหนักว่า เป็นเทคนิคปานกลาง เล่นช้า และจ่ายบอลได้แค่ในระยะสั้นๆ จนในภายหลังได้ไปทุ่มเงินเพื่อซื้อ เดวิด แบคแฮม มาเสริมทีมในเกมรุกแทน

เมื่อทีมมีแต่นักเตะที่เล่นแต่เกมรุก หวังขึ้นทำประตูให้ได้ สวนทางกับ มาเกเลเล่ ที่จะต้องคอยเฝ้าระวังในแนวรับมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันคู่แข่งเล่นเกมสวนกลับเร็ว ผลงานเขาจึงดูธรรมดา ไม่ได้เล่นอะไรมาก ยิ่งทำให้เขาถูกลืมทั้งจากสื่อ และเจ้าของสโมสร จนในท้ายที่สุด เขาก็โดนขายออกไป ทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากออกจากทีมเลยแม้แต่น้อย โดยในระยะเวลา 2 ฤดูกาลของ มาเกเลเล่ เขาได้พา ทัพราชันชุดขาว ประสบความสำเร็จมากมาย ดังนี้
• แชมป์ลาลีกา 2 สมัย ในฤดูกาล 2000–01 และฤดูกาล 2002–03
• แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาล 2001–02
• แชมป์ซุปเปอร์โกปา เด เอสปาญา 2 สมัย ในปี 2001 และปี 2003
• แชมป์ซุปเปอร์ คัพ ในปี 2002
• แชมป์อินเตอร์คอนติเนนตัล คัพ ในปี 2002

สโมสรเชลซี (Chelsea)
หลังจากไม่เป็นที่ต้องการของ ทัพราชันชุดขาว คนที่มองเห็นกองกลางตัวรับอย่าง มาเกเลเล่ นั่นก็คือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ กุนซือจาก ทัพสิงห์บลู ในขณะนั้นเขาซื้อ มาเกเลเล่ เข้าทีมด้วยราคา 16 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 670 ล้านบาท ในปี 2003 เขามองเห็นสไตล์การเล่นที่เป็นตัวหยุดเกมจากคู่แข่ง และคอยสร้างเกมจากฝั่งของตัวเองขึ้นมาใหม่ และส่งให้กองหน้าเล่นเกมรุกกลับ

หลังจากนั้น รานิเอรี่ โดนปลดออกไปและ มูรินโญ่ เข้ามาแทน ยิ่งทำให้ มาเกเลเล่ ได้ฉายแววในเกมรับมากยิ่งขึ้น เพราะ มูรินโญ่ ก็เห็นถึงความสำคัญในเกมรับแบบที่เขาทำ และสนับสนุนกองกลางตัวรับเช่นเขา ไปพร้อมๆกับเล่นเกมรุก จึงทำให้ เชลซี กลายเป็นทีมที่ได้ครองแชมป์ และประสบความสำเร็จอย่างมากมายในยุคนั้น สวนทางกับ ราชันชุดขาว ที่ตกต่ำถึงขีดสุด

มาเกเลเล่ ประสบความสำเร็จอย่างขีดสุดกับ ทัพสิงโตน้ำเงินคราม โดยเขาได้รับการยอมรับ และมองเห็นคุณค่าในนักเตะตัวรับธรรมดาจากทุกคนในทีม เขาเป็นที่รักของ กุนซืออย่าง มูรินโญ่ เพื่อนร่วมทีม ตลอดจนแฟนบอล การมีอยู่ของเขา ยิ่งทำให้ผู้เล่นในเกมรุกยิ่งได้แจ้งเกิด เพราะเขามักสร้างเกมและส่งให้เพื่อนขึ้นทำประตูเสมอ เขาได้รับรางวัลมากมายจากที่นี่ ลงเล่นไปทั้งหมด 217 นัด แต่ทำประตูได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น แต่สามารถพาทีมประสบความสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่ เป็นระยะเวลา 5 ปี จนถึงปี 2008 ดังนี้

• แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัย ในฤดูกาล 2004–05 และฤดูกาล 2005–06
• แชมป์เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 2006-07
• แชมป์ลีก คัพ 2 สมัย ในฤดูกาล 2004–05 และฤดูกาล 2006–07
• แชมป์เอฟเอ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ในปี 2005

สโมสรปารีส แซงต์-แฌร์แมง (Paris Saint-Germain)
มาเกเลเล่ กลับไปยังลีกบ้านเกิดอีกครั้ง กับสโมสรปารีส แซงต์-แฌร์แมง โดยย้ายไปในเดือนกรกฎาคม ปี 2008 เขาเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้า แชมป์เฟรนซ์ คัพ ในฤดูกาล 2009-10 โดยเขาค้าแข้งให้กับ ปารีส เป็นเวลา 3 ปี ลงเล่นไป 98 นัด และทำประตูไปได้เพียงแค่ประตูเดียวเท่านั้น

โคล้ด มาเกเลเล่ เขาประกาศแขวนสตั๊ดไปในปี 2011 ในขณะที่เขาอายุได้ 38 ปี หลังจากนั้นได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับ คาร์โล อันเชล็อตติ กับสโมสรปารีส แซงต์-แฌร์แมง จนกระทั่งในปัจจุบัน เขาได้กลับไปเป็นที่ปรึกษาทางด้านเทคนิคให้กับ สโมสรที่ให้โอกาสและมองเห็นคุณค่าของเขาอย่าง เชลซี ด้วยวัย 49 ปี
