
โจเซฟ จอห์น โคล (Joseph John Cole) หรือ ชื่อเป็นที่รู้จักในวงการลูกหนังว่า โจ โคล (Joe Cole) เขาคือ อดีตนักเตะคนดัง ที่เติบโตมาจากอคาเดมีของ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด แต่ไปแจ้งเกิดยัง สโมสรเชลซี โดย โจ โคล เกิดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ในปี 1981 ที่เมืองแพดดิงตัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อตอนอายุได้ราว 6 ขวบ เขาได้ย้ายไปยังเมือง ซัมเมอส์ทาวน์ และ จอร์จ และ ซูซาน โคล พ่อและแม่เลี้ยงบุญธรรม ได้ส่งเขาเข้าเรียนที่ โรงเรียนประถมเซนต์ แมรี พร้อมกับ นิคกี้ โคล และ ชาร์ลี โคล พี่ชายของเขาทั้ง 2 คน และ โจ โคล มีทีมฟุตบอลที่ชื่นชอบมากๆ คือ ทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
โจ โคล กับจุดเริ่มต้นสายลูกหนังที่ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ในปี 1990 ในขณะที่ โจ โคล มีอายุได้ 9 ขวบ แม้เขาเป็นแฟนบอลของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่โอกาสที่มาหาเขา ก็คือ ได้เข้าไปเป็นนักเตะฝึกหัดที่ อคาเดมีของสโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด และเขาก็ฝึกฝน พัฒนาทักษะอยู่ที่อคาเดมีของ ขุนค้อน อยู่ 8 ปี จนในที่สุดเขาได้พัฒนาฝีเท้าจนได้เข้าสู่ทีมใหญ่ของ ทัพขุนค้อน

ในปี 1998 โจ โคล ที่มีอายุ 17 ปี ได้รับโอกาสให้เข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด เนื่องจาก เควิน คีแกน กุนซือทีมชาติอังกฤษ ได้เรียกตัวเขาไปฝึกซ้อมร่วมกับแข้งรุ่นพี่ ทำให้ฟอร์มของเขาเข้าตาอย่างมาก จนในเดือนพฤศจิกายน ในปีนั้น ในฤดูกาล 1998-99 เขาได้รับการเซ็นสัญญาอาชีพฉบับแรกกับ ขุนค้อน และเขาเป็นแข้งคนหนึ่งของทีมที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง และมีฝีเท้าที่ยอดเยี่ยม จนไปเข้าตาทีมดังหลายทีม 1 ในนั้นคือ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เขาชื่นชอบด้วย
จนในวันที่ 2 มกราคม ปี 1999 ฤดูกาล 1998-99 เขาได้ลงสนามเป็นครั้งแรกในศึก เอฟเอ คัพ นัดที่พบกับ สโมสรสวอนซี ซิตี้ และในอีก 8 วันถัดไป เขาได้ลงเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ให้กับทีมเป็นครั้งแรก ในนัดที่พบกับ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งในฤดูกาลนี้ เขาสามารถเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่คว้า แชมป์เอฟเอ ยูธ คัพ มาครองได้สำเร็จ ในนัดชิงชนะเลิศที่พบกับ สโมสรโคเวนทรี ซิตี้ ด้วยสกอร์ขาดลอย 6-0 ซึ่งในฤดูกาลแรกของเขากับ ทัพขุนค้อน เขาได้ลงสนามไปทั้งหมด 8 นัดด้วยกัน

ซึ่งในฤดูกาลถัดไป 1999-00 โคล ได้มีโอกาสลงสนามมากขึ้นเรื่อยๆ และในเดือนพฤศจิกายน เขาสามารถทำประตูแรกของเขาให้กับสโมสรได้ในศึก ลีกคัพ ในนัดที่พบกับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และ เวสต์แฮม ก็เอาชนะมาได้ และสามารถยิงประตูในศึก พรีเมียร์ลีก ได้เป็นครั้งแรก ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2000 ในนัดที่เอาชนะ สโมสรแบรดฟอร์ด ซิตี้ 5-4 แต่ในช่วงปลายฤดูกาล โคล ก็ได้รับบาดเจ็บและต้องพักฟื้นไปหลายเดือน โดยในฤดูกาลนี้ เขาได้ลงแข่งขันในศึก พรีเมียร์ลีก ทั้งหมด 22 นัด และคว้าแชมป์ในรายการ ยูฟ่า อินเตอร์โตโต คัพ 1999 มาครองได้อีกด้วย

จนกระทั่งเดือนมกราคม ปี 2003 ในฤดูกาล 2002-03 เกล็น โรเดอร์ ผู้จัดการ ทีมขุนค้อน ในสมัยนั้น ได้แต่งตั้งให้ โจ โคล ได้รับหน้าที่เป็น กัปตันทีมเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในขณะนั้นเขามีอายุได้ 21 ปี จนเมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2003 เขาพาทีมพ่ายแพ้ให้กับ สโมสรเบอร์มิงแฮม ซิตี้ จนทำให้ทีมตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก ไปในที่สุด และเขาตัดสินในที่จะไม่ต่อสัญญากับสโมสร ก่อนอำลาทีมแรกไปเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล โดยเขาลงเล่นที่ เวสต์แฮม ไปทั้งหมด 126 เกม และทำประตูไป 10 ประตู

โจ โคล กับโอกาสสร้างตำนานที่ สโมสรเชลซี
ในเดือน สิงหาคม ปี 2003 โจ โคล ได้ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งให้กับ สโมสรเชลซี ด้วยค่าตัวราคา 6.6 ล้านปอนด์ หรือราวๆ 280 ล้านบาท โดยเขาได้เข้ามายัง ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ พร้อมกับการเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรของ โรมัน อับราโมวิช และได้รับหมายเลขเสื้อเป็นหมายเลข 10

โดยในฤดูกาลแรกของเขาที่ เชลซี ฤดูกาล 2003-04 ภายใน 1 สัปดาห์หลังจากที่เขาเซ็นสัญญากับทีม โคล ก็ได้ลงสนามเป็นครั้งแรกให้กับ เชลซี ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบคัดเลือก กับ สโมสรเอ็มเอสเค ซิลิน่า ซึ่ง โคล ลงสนามไปเป็นผู้เล่นสำรองแทนที่ เดเมียน ดัฟฟ์ และลงเล่นในศึก พรีเมียร์ลีก ครั้งแรก ในกลางเดือนสิงหาคม ปี 2003 ในนัดที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล ที่แอนฟิลด์ โดยเขาลงสนามเป็นตัวสำรองแทนที่ ดัฟฟ์ อีกเช่นเคย ซึ่งเขาได้ทำประตูแรกของเขาให้กับต้นสังกัดเมื่อ ตุลาคม 2003 ในศึก ลีก คัพ ในนัดที่เอาชนะ สโมสรนอตส์ เคาน์ตี้ โดยลงเป็นตัวสำรองให้กับ เจสเปอร์ กรอนก์แยร์

ซึ่งในฤดูกาล 2004-05 ถัดมา เขาได้รับการคัดเลือกให้ลงสนามเป็นตัวจริงเพิ่มมากขึ้น และในฤดูกาลนี้นั่นเองที่เขาสามารถเป็นส่วนสำคัญ ที่พาทีมเอาชนะ ลิเวอร์พูล และคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้อย่างสำเร็จ และในฤดูกาลนี้ โคล ยังสามารถทำประตูไปได้ทั้งหมดถึง 10 ประตู ด้วยกันอีกด้วย

และในฤดูกาล 2005-06 ฟอร์มของเขาก็ยังคงดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ เขายังเป็นส่วนสำคัญที่พาทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้อีก 1 สมัย จากผลงานขึ้นทำประตูแบบโซโล่เดี่ยวคนเดียว และเอาชนะ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาได้ 3-0 ซึ่ง โคล เป็นแชมป์ลีก 2 สมัยติดต่อกัน

โดยในฤดูกาล 2007-08 เขาโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าทึ่งอีกครั้ง เมื่อเขาสามารถปิดฤดูกาลนี้ไปได้ด้วยการขึ้นทำประตูในต้นสังกัดไปได้ 10 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ และเขายังได้รับรางวัล นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี 2008 ของ สโมสรเชลซี ไปครองได้อีกด้วย
โดย โจ โคล มีฤดูกาล 2009-10 เป็นฤดูกาลสุดท้ายที่ เชลซี แต่ในช่วง พรีซีซั่น เขาได้รับบาดเจ็บ และได้ลงเล่นอีกครั้งในเดือนมกราคม 2009 ในศึก ลีก คัพ กับสโมสรควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส และในเดือนกันยายน 2009 เขาได้รับความไว้วางใจ ให้รับหน้าที่ กัปตันทีมเชลซี อีกด้วย ต่อมาในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2009 เขาได้ลงสนามให้กับ เชลซี ครบ 250 นัด ในเกมที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งในวันนั้นเป็นวันเกิดอายุครบ 28 ปีของเขาด้วย
ต่อมาในเดือนเมษายน 2010 โจ โคล ทำประตูแรกในฤดูกาลนี้ในศึก พรีเมียร์ลีก นัดที่พบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นเกมที่สร้างชื่อให้กับเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาทำประตูเอาชนะในนัดนี้ให้กับทีมได้อย่างสวยงาม ด้วยการตอกส้นเท้าส่งบอลเข้าประตูไปได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งทำให้เขาและทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก สมัยที่ 3 มาได้อย่างสวยงาม

โดยจากปี 2003-2010 โจ โคล สร้างผลงาน และโชว์ฟอร์มของเขาที่ ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้อย่างยอดเยี่ยมในทุกๆฤดูกาล โดยเขาสามารถคว้า แชมป์เอฟเอ คัพ มาได้ 3 สมัย แชมป์ลีก คัพ มาได้ 2 สมัย และ แชมป์พรีเมียร์ลีก มาได้อีก 3 สมัย โดยเขาลงเล่นให้กับ เชลซี ไปทั้งหมด 282 นัด และทำประตูไปได้ 39 ประตู โดย โจ โคล หมดสัญญากับ สโมสรเชลซี เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ในปี 2010

โจ โคล กับการเลือกย้ายทีมใหม่ไปยัง สโมสรลิเวอร์พูล
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ปี 2010 โจ โคล ตัดสินใจในการเลือกย้ายสโมสรแบบไม่มีค่าตัวไปยัง สโมสรลิเวอร์พูล โดยที่ แอนฟิลด์ เขาได้รับค่าเหนื่อยรายสัปดาห์กว่า 90,000 ปอนด์ หรือราวๆ 3.8 ล้านบาท ซึ่ง สตีเว่น เจอร์ราร์ด แข้งเบอร์ 1 ของ ลิเวอร์พูล สมัยนั้น ยกย่องให้ โคล เป็นแข้งระดับเทพ เนื่องจากเขามีฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น และมีเทคนิคเฉพาะตัวที่เก่งกาจ คล้ายๆแข้งระดับโลกอย่าง ลิโอเนล เมสซี่

ซึ่งผลงานของ โคล ในถิ่นแอนฟิลด์ เป็นไปอย่างเรื่อยๆ ไม่ได้โดดเด่นมากนักเหมือนตอนที่อยู่ เชลซี ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ ในปี 2011 ลิเวอร์พูล ตัดสินใจให้ สโมสรลีลล์ จากลีกเอิง ฝรั่งเศส ยืมตัวเขาไปด้วยสัญญายืมตัวหนึ่งฤดูกาล (2011-12) เพื่อให้ โคล ได้มีโอกาสในการลงสนามอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ ลีลล์ เขาก็ได้ทำผลงานไว้อย่างน่าประทับใจ โดย 1 ฤดูกาล ลงเล่นไป 32 นัด ทำประตูไปได้ 4 ประตู

จนในฤดูกาล 2012-13 เขากลับไม่ค่อยโชว์ผลงานอะไรออกมาได้มาก และยังมีอาการบาดเจ็บมารบกวนอย่างต่อเนื่องทั้งฤดูกาล จนในที่สุด ในเดือนมกราคม ปี 2013 สโมสรลิเวอร์พูล ได้ปล่อยให้เขาย้ายทีมออกไปแบบไม่มีค่าตัว ให้กับ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด โดยในภายหลัง โคล ได้ให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่ค่อยมีความผูกพันกันกับ หงส์แดง เอาเสียเลย ซึ่งเขาลงสนามให้กับ ทัพหงส์แดง ไปทั้งหมด 26 นัด ทำประตูไปได้ 3 ประตู
โจ โคล กับการกลับไปยังจุดเริ่มต้นที่ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด
ในเดือนมกราคม ปี 2013 โจ โคล กลับไปยังสโมสรที่เขาเริ่มต้นค้าแข้ง นั่นก็คือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งเขาได้เซ็นสัญญากับ ทัพขุนค้อน ในระยะสั้นๆเพียงแค่ 18 เดือน ซึ่งในเดือนมกราคมนั้น เขาได้ลงสนามพบกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึกเอฟเอ คัพ ด้วยสกอร์ 2-2 ซึ่งทั้ง 2 ประตูที่เกิดขึ้น เกิดจากการแอสซิสต์ของเขาทั้ง 2 ลูก
และในเดือนสิงหาคม 2013 เขาสามารถทำประตูแรกในศึก พรีเมียร์ลีก ในนัดที่เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ซึ่งเขาทำไปได้ 1 ประตู และชนะมาด้วยสกอร์ 2-0 หลังจากนั้น โคล ต้องทำการพักรักษาตัวจากอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย เป็นเวลา 1 เดือนครึ่ง ซึ่งเมื่อได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง เขาก็โชว์ฟอร์มเก่งได้ทันที ด้วยการขึ้นทำประตูในศึก พรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับ ฟูลัม ซึ่งเขาลงมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้ และเอาชนะมาได้ด้วยสกอร์ 3-0

(Photo credit should read BEN STANSALL/AFP via Getty Images)
โดยเมื่อจบฤดูกาล 2013-14 สัญญาของ โจ โคล กับ ทัพขุนค้อน ก็หมดลงไป ซึ่งเขาไม่ทำการต่อสัญญา โดย โจ โคล ลงสนามให้กับ ทัพขุนค้อน ไปทั้งหมด 37 นัด และทำประตูให้กับทีมไปได้ 5 ประตู
โจ โคล กับสโมสรอื่นๆ ในช่วงก่อนแขวนสตั๊ด
สโมสรแอสตัน วิลล่า
โจ โคล เข้าเซ็นสัญญาเป็นนักเตะที่ แอสตัน วิลล่า เมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2014 โดยเป็นการเซ็นสัญญา 2 ปี ซึ่งเขาลงสนามที่สโมสรแห่งนี้ไปทั้งหมด 12 นัด ทำประตูไปได้ 1 ประตู ในฤดูกาล 2014-2016

สโมสรโคเวนทรี ซิตี้
เขาทำการเซ็นสัญญากับ สโมสรโคเวนทรี ซิตี้ ทีมในระดับลีกวัน เมื่อเดือนตุลาคม 2015 เป็นระยะเวลาเพียง 35 วันเท่านั้น ก่อนที่ในเดือนพฤศจิกายน 2015 เขาจะทำการขยายสัญญาออกไปจนถึงในวันที่ 3 เดือนมกราคม 2016 ก่อนที่ในวันที่ 7 มกราคม จะต่อสัญญาแบบโอนฟรี ไปจนจบฤดูกาล 2015-16 ซึ่งเขาลงเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ไปทั้งหมด 22 นัด และทำประตูไปได้ 2 ประตูด้วยกัน

สโมสรแทมป้า เบย์ โรว์ดี้ส์
โจ โคล เซ็นสัญญาในเดือนพฤษภาคม ในปี 2016 กับ สโมสรแทมป้า เบย์ โรว์ดี้ส์ สโมสรในลีกฟุตบอลอเมริกาเหนือ (NASL) ซึ่งเป็นลีกรองของอเมริกา เป็นระยะเวลา 1 ฤดูกาล เขาได้สวมเสื้อหมายเลข 26 เป็นกัปตันทีม และได้ลงเล่นในตำแหน่ง มิดฟิลด์ตัวรุก ซึ่งเขาโชว์ฟอร์มในลีกรองของอเมริกาได้ด้วยเชิงบอลที่ยอดเยี่ยม โดยได้รับการโหวตให้ได้รับ รางวัลเป็นผู้เล่นประจำสัปดาห์ของลีก และในเดือนตุลาคม เขายังได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้าชิงรางวัล NASL Golden Ball และในเดือนมิถุนายน ในปี 2017 เขาได้รับเกียรติให้เป็นผู้ช่วยโค้ช พ่วงด้วยการลงเล่นเป็นนักเตะให้กับสโมสรอีกด้วย โดย โจ โคล ลงสนามให้กับสโมสรแห่งนี้ 82 นัด ทำประตูไปได้ 20 ประตู
โดยในวันที่ 13 เดือนพฤศจิกายน ปี 2017 โจ โคล ในวัย 36 ปี เขาได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ โดย โจ โคล เป็นหนึ่งในนักเตะที่เป็นตำนานของวงการลูกหนังอังกฤษคนหนึ่ง ที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังอังกฤษ และวงการลูกหนังโลก
